สำหรับพรีเมียร์ลีก ภาพที่คุ้นเคยกลับมาอีกครั้ง เมื่อเป็นรองจ่าฝูงโดยตามหลัง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ อยู่ที่หนึ่งคะแนน ส่วน ยูฟ่า ยูโรป้า ลีก ไม่น่ามีปัญหาอะไรในการผ่านเข้ารอบเป็นแชมป์กลุ่ม แม้ว่าจะเพิ่งแพ้ให้กับ ตูลูส มาก็ตาม 

ที่มีลุ้นมากที่สุดในเวลานี้คือ คาราบาว คัพ เนื่องจากเข้ามาถึงรอบก่อนรองชนะเลิศแล้ว ดังนั้นเป้าหมายจากนี้คือทวงบัลลังค์แชมป์ และอีกถ้วยอย่าง เอฟเอ คัพ นั้นคงต้องรอผลจับฉลากก่อนค่อยว่ากัน

ด้งนั้นเรามาเจาะลึกถึงเวทีพรีเมียร์ลีก โดยเฉพาะกันดีกว่า เนื่องจากหลังผ่านไปแล้ว 12 นัด ลิเวอร์พูล ชนะ 8 เสมอ 3 แพ้ 1 ซัลโวไป 27 ประตู และโดนเจาะตาข่าย 10 ครั้ง มี 27 แต้ม จาก 36 คะแนนเต็ม

สำหรับ 9 คะแนนที่หายไปนั้น ต้องบอกว่าเต็มไปด้วยความน่าเสียดาย เนื่องจากผลเสมอกับ เชลซี นัดเปิดฤดูกาลนั้น เป็นช่วงที่ลูกทีมของ เจอร์เก้น คล้อปป์ ยังคงไม่เข้าที่เข้าทาง ซึ่งหากเจอกันช้ากว่านั้นสัก 2 สัปดาห์ บางทีพวกเราอาจจะบุกชนะได้ถึง สแตมฟอร์ด บริดจ์

ต่อด้วยการปราชัยให้กับ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ที่น่าอัปยศมากที่สุดของผู้ตัดสิน ที่มี VAR ก็ไม่ช่วยอะไร เมื่อสื่อสารกันแบบคนเมาค้าง จนทำให้พวกเราพลาดประตูที่ควรได้ในเกมนั้น และยังโดนใบแดงไล่ออก จนเหลือนักเตะแค่ 9 คน

อีกนัดที่พอให้อภัยได้ คือการเสมอกับ ไบรท์ตัน เนื่องจากเมื่อฤดูกาลที่แล้ว ยังแพ้ทีมนี้แบบหมดรูป 3-0 แต่ที่น่าเสียดายที่สุดคือการเสมอกับ ลูตัน ทาวน์ จนทีมเพื่อนรักคลอดวลีว่า “ใครๆก็ชนะ ลูตัน” ขึ้นมาหยอกเหย้ากันพอได้หอมปากหอมคอ

ลองคิดดูเล่นๆว่าถ้าหากพลาด 4 นัดที่ว่ามานี้น้อยกว่านั้นอีกสักหน่อย เราอาจจะนำหัวตารางอย่างสง่าผ่าเผย จนเตรียมพร้อมคว้าถ้วยพรีเมียร์ลีก สมัยที่ 20 ไปแล้วก็เป็นได้

หลังพักเบรคทีมชาติ ลิเวอร์พูล จะบุกไปท้าดวลกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ซึ่งหากเก็บสามคะแนนได้สำเร็จ นี่จะเป็นการประกาศศักดาว่า ‘พวกเราพร้อมลุ้นแชมป์’ อีกครั้ง แต่ถ้าพูดตามตรง เอาแค่เสมอก็น่าพอใจแล้วจ้า

เขียนโดย The Lite Team.